รวมเทคนิคดีๆ ในร้านอาหารที่ทำให้ลูกค้ายอมจ่ายเพิ่ม
ด้วยรูปแบบการใช้ชีวิตที่เปลี่ยนไป ทำให้การออกไปรับประทานอาหารนอกบ้านตามร้านอาหารต่างๆ กลายเป็นส่วนหนึ่งของวิถีชีวิตไปแล้ว ซึ่งการรับประทานอาหารนอกบ้าน หลายคนยอมจ่ายเงินจำนวนมากเพื่อแลกกับความพึงพอใจในรสชาติและบรรยากาศของร้าน อะไรเป็นสาเหตุที่ทำให้คนเหล่านั้นยอมจ่ายเงินมากขึ้นเพื่อกินอาหารมื้อหนึ่ง ร้านอาหารใช้กลวิธีใดในการชักชวนให้ลูกค้ายอมจ่ายตังเพิ่มขึ้นเวลามากินอาหารที่ร้าน
OCT | 20
- วันนี้ Umeal จึงรวบรวมเทคนิคดีๆ ที่ทำให้ลูกค้ายอมจ่ายเงินเพิ่มเมื่อเข้าใช้บริการในร้านอาหารแบบไม่ลังเลใจมาฝากกัน
- 1.หลีกเลี่ยงการใช้เครื่องหมายค่าเงินต่างๆ
เครื่องหมายค่าเงินต่างๆ เช่น $ ,฿ หรือ ¥ นั้น เป็นสิ่งที่ร้านอาหารควบหลีกเลี่ยงที่จะเขียนลงไปในเมนู เพราะเหมือนเป็นเครื่องหมายที่เตือนให้ลูกค้ารู้ตัวว่าพวกเขาจะต้องจ่ายเงิน ซึ่งตามผลการศึกษาของมหาวิทยาลัยคอร์แนล พบว่า แขกที่ได้รับเมนูที่ปราศจากเครื่องหมายเหล่านั้น จะมีการจ่ายเงินเพิ่มขึ้นมากกว่าคนที่ได้รับเมนูที่มีเครื่องหมายค่าเงินต่างๆอย่างมีนัยสำคัญ และแม้ว่าจะเปลี่ยนเป็นการเขียนตัวหนังสือ “สิบดอลล่าร์” แทนการเขียนเครื่องหมายดอลล่าร์ลงไป ลูกค้าก็มีการจ่ายเงินน้อยลง เพราะยังรู้สึกตัวว่าจะต้องจ่ายเงินอยู่นั่นเอง
- 2.ใช้กลเม็ดเกี่ยวกับตัวเลข
ส่วนใหญ่ร้านอาหารจะไม่ตั้งราคาอาหารลงท้ายด้วยเลข 9 เช่น 199 บาท เพราะทำให้ลูกค้ารู้สึกว่าอาหารไม่มีคุณภาพ แต่หากว่าลงท้ายด้วย 95 แทนที่จะเป็น 99 จะทำให้ลูกค้ารู้สึกดีขึ้น เพราะเหมือนกับร้านค้าเป็นมิตรกับพวกเขา นอกจากนี้ ร้านค้าส่วนใหญ่จะกำหนดราคาที่ไม่ต้องลงท้ายด้วยเศษสตางค์ เพื่อจะทำให้เมนูของร้านดูสะอาดตา เข้าใจง่าย และตรงประเด็น
- 3.ใช้ภาษาในการบรรยาย
ผลการศึกษาจากมหาวิทยาลัยคอร์แนลพบว่า รายการอาหารที่มีการบรรยายคุณลักษณะของอาหารจานนั้นๆ ประกอบกับรูปภาพที่สวยงาม จะได้รับความนิยมจากลูกค้ามากกว่า เพราะลูกค้าสามารถเห็นภาพของอาหารที่ต้องการได้อย่างชัดเจนและสีของรูปภาพอาหารมีผลโดยตรง ในการกระตุ้นความอยากอาหาร จึงทำให้ลูกค้าสั่งอาหารไปโดยไม่สนใจราคาเลยด้วยซ้ำ
- 4.เชื่อมโยงอาหารเข้ากับครอบครัว
การตั้งชื่ออาหารให้เชื่อมโยงกับครอบครัวนั้นมีส่วนช่วยให้ลูกค้าตัดสินใจซื้อได้มากขึ้น ตัวอย่างชื่อครอบครัวที่ใช้ก็อย่างเช่น พ่อ แม่ ปูย่า ตายาย ที่จะถูกตั้งชื่อในเมนูอาหาร เช่น คุกกี้โฮมเมดยี่ห้อ Grandma's warm หรือ ข้าวแช่สูตรคุณยายแจ่ม เพชรบุรี เป็นต้น ชื่อเมนูอาหารเหล่านี้ลูกค้ามีแนวโน้มที่จะตัดสินใจซื้อมากขึ้น เพราะรู้สึกถึงความเป็น Homemade มั่นใจได้ถึงรสชาติที่อร่อยจากสูตรดั้งเดิมในครอบครัว
- 5.ใช้คำที่เกี่ยวกับชาติพันธุ์มารวมอยู่ในชื่ออาหาร
จะทำให้ลูกค้ารู้สึกว่าดูน่าลิ้มลองมากยิ่งขึ้น ตามที่มีนักวิจัยของมหาวิทยาลัยออกซ์ฟอร์ด ได้ทำการวิจัย มีการใช้ชื่อของชาติพันธุ์ หรือชื่อทางภูมิศาสตร์ อย่างเช่น อิตาลี มารวมอยู่ในชื่ออาหาร ก็จะทำให้คนมีความสนใจในคุณสมบัติของอาหารแต่ละจานมากขึ้น เช่น Italian’s Pizza หรือ สลัดแซลมอนนอร์เวย์ เป็นต้น
- 6.คนจะให้ความสนใจในสิ่งที่ถูกเน้นให้เด่นชัด
การทำชื่อเมนูเป็นตัวหนา ทำตัวอักษรให้มีสีที่ต่างจากเมนูอื่น หรือวางตำแหน่งคู่กับรูปภาพ คนจะให้ความสนใจเมนูนั้นๆ มากขึ้น แต่ร้านอาหารระดับหรู มักจะหลีกเลี่ยงที่จะใช้กลยุทธ์นี้เพราะจะทำให้พวกเขาดูไม่มีรสนิยม
- 7.ใช้รายการอาหารที่มีราคาสูงดึงดูดลูกค้าไปยังรายการที่มีราคาถูกกว่า
โดยลูกค้าอาจจะไม่ได้สนใจในสิ่งที่มีราคาสูง แต่เมื่อดูเมนูไปเรื่อยๆจะพบสิ่งที่ราคาถูกกว่า และลูกค้าจะตัดสินใจเลือกได้ง่ายขึ้นเพราะรู้สึกถึงความคุ้มค่าที่มากกว่า
- 8.ในหนึ่งเมนูมีสองขนาดให้เลือก
ทำให้ลูกค้าตัดสินใจในการเลือกสั่งอาหารได้ง่ายขึ้น ไม่ต้องกังวลว่าอาหารที่มาจะจานใหญ่ไปหรือเล็กไปและลูกค้าจะคิดว่าอาหารที่ขนาดเล็กกว่าจะมีราคาคุ้มค่ากว่า เพราะควักจ่ายน้อยกว่าทั้งที่จริงๆ แล้วทางร้านได้กำไรต่อจานในจานเล็กที่มากกว่า
- 9.มีการวิเคราะห์การอ่านของลูกค้า
จากการศึกษาวิจัยของเกาหลี ลูกค้ามักจะสั่งอาหารรายการแรกที่เขาให้ความสนใจ ร้านอาหารจึงวางตำแหน่งรายการอาหารที่ทำกำไรมากที่สุดไว้มุมขวาด้านบน เพราะจุดนั้นเป็นจุดที่สายตาของคนอ่านให้ความสนใจเป็นจุดแรก ซึ่งกลยุทธ์นี้ เพื่อที่ลูกค้าจะได้เห็นเป็นจุดแรก ต่อจากนั้นลูกค้าก็จะพิจารณาส่วนอื่นๆ ของเมนูเพื่อนำมาเปรียบเทียบกัน
- 10.จำกัดตัวเลือกให้ลูกค้า
ร้านอาหารจะช่วยไม่ให้ลูกค้ารู้สึกว่าเป็นเรื่องยากที่จะต้องเลือกอาหารในแต่ละครั้ง โดยจะมีการจำกัดตัวเลือกรายการอาหารในแต่ละประเภท เช่น มีอาหารให้เลือก 6 รายการต่อประเภทในร้านอาหารฟาสต์ฟูด ส่วนร้านอาหารทั่วไปอาจจะมีให้เลือก 7-10 รายการต่อประเภท จะช่วยให้ลูกค้าไม่สับสนและเสียเวลาไปกับการเลือกรายการอาหารที่มากมายจนตาลาย การจัดหมวดหมู่และจำกัดตัวเลือกให้ชัดเจน จะช่วยให้ปิดการขายได้ไวขึ้นอีกด้วย
- 11.มีการกำหนดอารมณ์ความรู้สึกในขณะที่ใช้จ่าย
ซึ่งจากการวิจัยของมหาวิทยาลัยเลสเตอร์ ร้านอาหารที่มีการเปิดเพลงหรือเล่นดนตรีคลาสสิกจะกระตุ้นให้ผู้ที่มากินอาหารใช้จ่ายมากขึ้น เพราะมันทำให้พวกเขารู้สึกว่าตัวเองมีฐานะดีกว่า ในขณะที่เพลงป๊อบทำให้คนใช้จ่ายน้อยลงร้อยละ 10 ในมื้ออาหารของพวกเขา
- ได้อ่านเทคนิคดีๆ ที่ Umeal รวบรวมมาให้แล้ว ก็อย่าลืมลองเอาไปใช้กันในร้านอาหารของคุณดูล่ะ ได้ผลตอบรับอย่างไรอย่าลืมมาแชร์ให้เราฟังบ้างล่ะ